เทศน์บนศาลา

รู้จริงหรือรู้จำ

๒๓ เม.ย. ๒๕๔๘

 

รู้จริงหรือรู้จำ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นคนที่มีวาสนามาก ชาวพุทธไง ชาวพุทธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบศาสนา พบธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นสิ่งที่เลอเลิศมหาศาล แล้วจะเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว คำว่า “เป็นครั้งเป็นคราว” เพราะต้องมีผู้ที่มีบุญญาธิการเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาตรัสรู้ธรรม แล้วถึงวางหลักการอันนี้ไว้ตามความเป็นจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริง รู้จริงถึงแก้กิเลสได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นรู้จำ เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือธรรมและวินัยอยู่ในตู้พระไตรปิฎก แล้วเราเอาความรู้จำของเราเข้าไปศึกษาไง ความรู้จำแล้วเราก็จินตนาการ เราก็ตีแผ่ ตีแผ่กิเลสให้มันมีกำลังขึ้นมาในหัวใจขึ้นไปอีก เป็นการยึดมั่นถือมั่นอีกมหาศาลเลยว่าเรารู้ สิ่งที่เรารู้ขึ้นมาเพราะเรารู้จำ มันถึงแก้กิเลสไม่ได้

แต่ถ้าเป็นความรู้จริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ถามใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาจากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง สิ่งที่รื้อค้นขึ้นไป ทวนกระแสกลับเข้าไปกระแสโลก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ มาเหมือนกัน ก่อนจะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ศึกษาวิชาการทางโลก วิชาการทางโลกเรียนมาเพื่ออะไรล่ะ? เรียนมาเพื่อจะปกครอง เรียนมาเพื่อการปกครองในการดำรงชีวิต ในฐานะของกษัตริย์ที่ต้องมีปัญญาเหนือเขาถึงจะปกครองเขาได้

สิ่งนั้นเรียนมาแล้วแต่ก็ยังมีบุญญาธิการไม่เอาสิ่งนั้น ยึดติดสิ่งนั้นไง ความยึดติดว่าข้านี้มีปัญญามาก ข้านี้เป็นผู้นำ ข้านี้เป็นผู้ที่จะเป็นผู้ปกครองคน เห็นไหม สิ่งนี้มันจะทำให้เราหมดโอกาส หมดโอกาสในการรู้จักตัวเองไง เราเป็นผู้นำเขาๆ แต่โดยชีวิตเรา เราจะนำอะไรกับชีวิตเราล่ะ ชีวิตเราก็ต้องเกิดตายๆ ไปในวัฏฏะนี้ เห็นไหม หลงในชีวิตของตัวเองไง

แต่เจ้าชายสิทธัตถะศึกษามานะ พระเจ้าสุทโธทนะส่งไปศึกษามาเพื่อจะมาเป็นกษัตริย์ สิ่งที่คนจะเป็นกษัตริย์ เตรียมพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ การศึกษาของผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ จะต้องมีการศึกษา ทางโลกที่เขาว่าวิชาการขนาดไหนต้องศึกษาวิชาการนั้นมา แล้วเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ มีปัญญามาก ศึกษาสิ่งใดก็จะเข้าใจปัญหาสิ่งต่างๆ คือตีความสิ่งต่างๆ ได้ทั้งหมด เตรียมตัวจะเป็นกษัตริย์ไง

แต่ถ้าเป็นกษัตริย์ เห็นไหม วิชาการทางโลก ความรู้จำ แต่ความรู้จำอย่างนี้ ถ้าเราศึกษามาแล้วเรามีโอกาสอย่างนั้น เราก็จะติดโอกาสของเราอย่างนี้ไง แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล เห็นไหม ความรู้จำอันนี้มันเป็นการรู้จำในสถานะของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่การค้นคว้าหาความรู้จริงของเจ้าชายสิทธัตถะเพราะเกิดมีบุญญาธิการของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ถึงได้เบื่อหน่าย เห็นไหม สิ่งนี้ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างนี้ไป เทวทูตมาแสดงตัวให้เห็นเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งนี้มีหรือ สิ่งนี้มี เพราะคนเราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายหรือ

เราก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเกิด ต้องตาย จะเป็นผู้นำเขา จะปกครองเขา จะมีสมบัติมหาศาลขนาดไหนมันก็ต้องต้องแก่ต้องตาย สิ่งที่ต้องแก่ต้องตายนี่มันมีความสะเทือนใจมากกว่าอำนาจไง อำนาจของกษัตริย์ อำนาจของผู้ปกครองคน อำนาจของผู้ปกครองคนมันก็เป็นสมมุติอยู่ชั่วคราว เราจะได้เป็นกษัตริย์ เราจะได้ปกครอง จะเป็นจักรพรรดิด้วย สิ่งต่างๆ อย่างนี้โลกเขาต้องการกัน แต่เจ้าชายสิทธัตถะ สิ่งนี้เอามาเป็นเหยื่อล่อเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้เลย สิ่งนี้จะต้องทำให้เกิดให้ตายไปในวัฏฏะนี้ เห็นไหม ถึงออกค้นคว้า ออกค้นคว้าไป โลกนี้เขามีแต่จินตมยปัญญากันทั้งนั้นเลย เพราะเจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ปฏิญาณตนว่าเขาเป็นผู้นำ เขาเป็นผู้ที่พึ่งจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณ ความเป็นไป ชีวะความเกิดของใจ ความชีวะคือสิ่งที่ความรู้สึกอันนี้ไง ไปศึกษากับเขา นี่ถ้าไม่มีบารมี สิ่งที่ไปศึกษา มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับเราภาวนาไป สิ่งที่เราไม่รู้ไง สิ่งที่เราไม่รู้เวลาเกิดนิมิตต่างๆ เราไปตื่นเต้น เราไปเห็นความรู้สึกของเรา ไปเห็นภาพของเรา ไปเห็นว่าเราจะเป็นสภาวะแบบใด

แม้แต่กาฬเทวิลระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ ระลึกอนาคตได้ ๔๐ ชาติ เห็นไหม นี่ก็เป็นปุถุชนนะ กาฬเทวิลนี่เขาเป็นพราหมณ์ เขาระลึกชาติได้ เขาทำสมาบัติได้ เขาไปนอนอยู่บนพรหมได้ ทำไมเขาไม่หลงตัวเขาเองล่ะ เขาไม่หลงตัวเขาเองเพราะสิ่งที่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดนี่มันสะเทือนเลื่อนลั่น เพราะเทวดา ทุกอย่าง เทวดานะ เทวดาหมายถึงจิตวิญญาณที่เขารอรับ รอการเกิดของสิ่งที่เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง คือพระพุทธเจ้าเกิดหนหนึ่ง สิ่งนี้จะส่งต่อกันไป

กาฬเทวิลนอนอยู่บนพรหมนะ สะเทือนขึ้นไปถึงกาฬเทวิล ถึงต้องลงมาดูไง สะเทือนถึงใจ ว่าสิ่งนี้เกิดแล้ว เห็นไหม มีทั้งร้องไห้ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ดีใจเพราะเจ้าชายสิทธัตถะเกิด แต่เสียใจเพราะตัวเองอายุต้องตายก่อน รู้ เพราะรู้อดีตอนาคต สภาวะรู้อย่างนั้นเขายังไม่หลงตัวเขาเลย กาฬเทวิลก็ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่เป็นเพราะเขาไม่มีโอกาสเท่านั้น

เจ้าชายสิทธัตถะก็ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ อย่างนี้ เขาก็ปฏิญาณตนกันว่าเขาเป็นศาสดาๆ นี่ชีวะความเป็นไปจากภายใน ผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์กับตัวเอง เช่น กาฬเทวิลเขาไม่หลงตัวเขาเอง แต่ผู้ที่เขาปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ต่างๆ ในสมัยพุทธกาล สิ่งนั้นเขาหลงตัวเอง เขาหลง เขาไม่เข้าใจ เห็นไหม นี่ความจำ แล้วติดความจำว่าเป็นความจริงไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปศึกษากับเขาแล้วไม่ยอมรับสภาวะแบบนั้น ค้นคว้าจากเจ้าลัทธิหนึ่งก็ไปอีกลัทธิหนึ่ง จากที่มีการสั่งสอนกันไว้ในอัตตกิลมถานุโยค ที่ว่ามีการประพฤติปฏิบัติขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปทดลองมากับเขา สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามันไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ถ้ามันไม่เป็นมรรคญาณ มันจะเป็นสิ่งที่ชำระกิเลสไม่ได้

สิ่งที่ชำระกิเลสได้โดยที่ยังไม่มีผู้ค้นคว้าพบขึ้นมานี้จะเป็นได้บุคคล ๒ จำพวกเท่านั้น คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้ที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ต้องสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่เป็นพระโพธิสัตว์ เห็นไหม การสละต่างๆ สละชีวิต สละแล้วสละเล่าของพระโพธิสัตว์นี้ ถึงจะได้บารมีมาขนาดนั้น

สละ เห็นไหม ความสะสมไง ความสะสมของพลังงาน ความสะสมบารมีของจิต ความสะสมที่จะรองรับสิ่งที่ละเอียดอ่อน นี่เราแบกของหนัก เราจะต้องใช้กำลังร่างกายที่แข็งแรงถึงจะแบกของหนักได้ เราต้องฝึกฝน เวลาแบกของได้มากได้น้อย เราต้องฝึกฝน จิตก็เหมือนกัน การสะสมที่จะรองรับสิ่งที่เป็นบารมีธรรมที่จะรองรับผลของธรรม รองรับผลของสิ่งที่เป็นธรรมในหัวใจที่เป็นธรรมธาตุอันนี้ มันถึงค้นคว้ามาไง

มีบุคคลอยู่ ๒ จำพวก ถ้าศาสนาไม่มี ที่จะมาตรัสรู้ธรรมได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น ฉะนั้น ถึงไปค้นคว้ากับใครก็ไม่มีไง สิ่งที่ไม่มีนี่ค้นคว้า ความจะรู้จริงขึ้นมาได้มันต้องมีคนรู้จริงก่อนแล้วชี้นำมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอายุ ๘๐ ปี แล้วบอกจะวางธรรมไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี

สิ่งที่วางธรรมไว้ ๕,๐๐๐ ปี อยู่ในพระไตรปิฎกนะ ชี้ว่าโอกาสของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สาวกะสาวกไง เราเกิดเป็นสาวก เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รู้จริงก่อน กว่าจะรู้จริงได้ก็ต้องทดลองทดสอบ เพราะผู้ที่มีปัญญาเหมือนพระสารีบุตร มีปัญญานี่ต้องค้นคว้าต้องศึกษาจนถึงเต็มที่ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เพราะมีปัญญา ต้องมีค้นคว้า ค้นคว้าจากโลกธาตุนี้จนหมดจนไม่มีสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นไปได้ไง ถึงต้องย้อนกลับมาระลึกถึงโคนต้นหว้าไง นึกถึงตอนท่านเป็นเด็กนะ เวลาพระเจ้าสุทโธทนะพาออกไปแรกนาขวัญ นั่งอยู่โคนต้นหว้า กำหนดลมหายใจอานาปานสติ มันมีความสุข มีความว่าง มีความสุขมาก เพราะเป็นสัมมาสมาธิ

สิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิหนึ่ง สิ่งที่เป็นการสะสมของบุญญาธิการมาหนึ่ง ขนาดเงาของต้นหว้าไม่คล้อยตามไปกับตะวัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่สถิตไว้ในหัวใจ สิ่งที่สถิตในหัวใจถึงย้อนกลับมาถึงตั้งแต่เป็นเด็ก ถึงออกมาฉันอาหารไง ถึงออกมาฉันข้าวของนางสุชาดา เห็นไหม คราวที่ฉันข้าวของนางสุชาดาเป็นบุญกุศลของเขามาก เพราะตั้งแต่มื้อนี้แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ไง จะตรัสรู้นี่

ผู้ที่จะทำสิ่งที่ว่าจะได้ร่วมบุญกุศลกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นสหชาติ คือการสร้างบุญสร้างกุศลมาด้วยกัน แล้วบุญกุศลนี่ ผู้ที่ปรารถนาอย่างนี้ ปรารถนานะ ต้องสร้างบุญกุศล ต้องอธิษฐานจะเป็นแม่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นภรรยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นลูก นี่สร้างสมบุญญาธิการมาทั้งนั้น สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เราทำ ผู้ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษจะมีสิ่งนี้ในหัวใจ แล้วจะต้องค้นคว้าให้มันเป็นสัจจะความจริง รู้จริงจะเป็นอย่างนี้ไง

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าสิ่งนี้ เห็นไหม ฉันข้าวของนางสุชาดา แล้วกำหนดว่าคืนนี้ถ้านั่งแล้วถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ลุก ถึงคราวอุกฤษฏ์ ถึงคราวที่ว่าต้องประหารกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสกำลังขับไส ที่เป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งนี้เป็นบุญกุศลส่งเสริมมา มันก็ติดสิ่งนี้เข้ามาเหมือนกัน บาปหรือบุญติดมากับใจดวงนี้ แล้วขับเคลื่อนใจดวงนี้มาถึงในปัจจุบันนี้ แล้วก็ขับเคลื่อนไป

ในการทดสอบ ในศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มา ทดสอบมาตลอด สิ่งนี้ขับเคลื่อนไปเพื่อจะไม่ต้องมีสิ่งใดมาอ้างว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เคยได้ค้นคว้ามาจากใคร ค้นคว้าศึกษามากับเขาทั้งหมด แล้วถึงที่สุดแล้วไม่มีใครทำได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงกลับมาหาใจของตัว เห็นไหม ปฐมยาม บุพเพนิวาสนุสติญาณนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการสะสมมาของจิตนี้มาขนาดไหน จุตูปปาตญาณ อดีตอนาคตมันมีอยู่แล้วในสากลในวัฏฏะนี้โดยธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มีอยู่โดยธรรมชาติ ธรรมะมีอยู่โดยธรรมชาติ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปตรัสรู้ธรรมที่ละเอียดอ่อน นี่ศาสนาพุทธสิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญเรื่องของภาวะธรรมในหัวใจ

สิ่งที่ย้อนไปอดีตเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ นั้นก็ไม่ใช่ สิ่งที่ย้อนไปในอนาคต จุตูปปาตญาณนี้มันเป็นการเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับกับใจนี้ เกิดดับจากบุญญาธิการ เกิดดับจากสิ่งที่พลังงานของใจที่สะสมขึ้นมา สิ่งที่สะสมขึ้นมาเป็นเกิดดับ เห็นไหม เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา แต่ขณะนั้นธรรมก็ยังไม่เกิด แต่สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่ยังไม่เข้าไปถึงในอาสวักขยญาณ ยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ ก็ไม่ติด ไม่ติดเพราะไม่หลงไปในสภาวะ นี่ศึกษากับเขามามหาศาลแล้วสิ่งนี้มันถึงกาลถึงเวลาแล้ว เพียงแต่เป็นการมาเสริม เสริมให้หัวใจดวงนี้...ขณะปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกอดีตชาติ การระลึกอดีตอนาคตนี้ไม่ใช่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นการยืนยันว่าสิ่งนี้มีจริง สิ่งที่มีจริงคือการที่จิตสะสมสิ่งนี้มา จิตสะสมบารมีมา บุญกุศลสิ่งนี้มา เป็นพระโพธิสัตว์มา มีจริง แล้วถ้าทำไม่ได้จะไปเกิดอีกก็เป็นของจริง ก็มันเป็นวัฏฏะจริงๆ แล้วมันมีผลจริงตามความเป็นจริงของมันคือสิ่งที่มีอยู่ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับขึ้นมา เห็นไหม อาสวักขยญาณ เข้าไปทำลายกิเลสสิ่งนี้ไง ทำลายอาสวักขยญาณพ้นออกไป จิตนี้เสวยวิมุตติสุข

สิ่งที่เสวยวิมุตติสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นคว้า เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนรู้จริงในภาคปริยัติ ในภาคปฏิบัติ ในที่อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ เกิดการค้นคว้าจากหัวใจนี้ถึงเป็นความสำคัญมากไง พอรู้จริงขึ้นมาแล้วถึงวางธรรมไว้ให้พวกเราก้าวเดิน เห็นไหม ก้าวเดินไป

แล้วในการศึกษาในการประพฤติปฏิบัติของเรา ในปัจจุบันนี้บอกว่าต้องรู้ให้กว้าง การรู้ให้กว้าง กว้างก็เพราะว่าต้องศึกษาให้มาก ให้เข้าใจสิ่งต่างๆ ต้องรู้ให้ลึก ลึกเพื่ออะไร? เพื่อจะเข้าใจสิ่งต่างๆ การรู้ให้กว้างไง นี่โลกเขารู้ให้กว้าง นี่เขาศึกษากัน การรู้ให้กว้าง สิ่งต่างๆ ในโลกนี้รู้ให้กว้าง นี้เป็นเรื่องของโลกนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริง รู้จากการประพฤติปฏิบัติ แต่การศึกษานี้เพราะเราเกิดมานี่ เราเกิดมาเรามีอำนาจวาสนา เราถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ธรรมและวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ๒,๕๔๐ กว่าปีมานี้ ในเมื่อ ๒,๕๔๐ กว่าปีมานี้ มันช่วง ๒,๐๐๐ กว่าปีมา สิ่งต่างๆ การประพฤติปฏิบัติส่งช่วงกันมา เพราะชีวิตคนนี่หนึ่งร้อยปี การเกิดตายๆ เป็นชั้นๆ ตอนๆ มา ขณะคราวรุ่งเรืองก็มี ถึงคราวเสื่อมสภาวะไปอย่างนี้ก็มี

แต่ในเมื่อศาสนามีอยู่ เพราะธรรมวินัย คือทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่ ในกลาง ๕,๐๐๐ ปีนี้ ผู้ที่เกิดใน ๕,๐๐๐ ปีนี้ สาวก สาวกะ ถ้าค้นคว้าจริงในภาคปฏิบัติมันจะเห็นจริง แต่ในภาคปฏิบัติ ปฏิบัติขนาดไหน ขนาดที่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็รู้ เขาก็เห็นของเขา รู้เห็นของเขาโดยที่เขาไม่มีอำนาจวาสนาของเขา เขาก็ปฏิญาณตนว่าเขาเป็นศาสดา ในปัจจุบันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา เราไม่มีอำนาจวาสนา การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เป็นการสร้างสมบุญญาธิการ ผู้ที่ปฏิบัติบูชาสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมมันถึงจะเป็นสัจจะความจริง แต่นี่เราประพฤติปฏิบัติ แต่ในเมื่อเราไม่มีอำนาจวาสนา มันก็เป็นการประพฤติปฏิบัติเพื่อสะสมบุญญาธิการ สะสมบารมี แต่มันไม่ได้ชำระกิเลสไง

สิ่งนี้มันถึงว่าเวลามันเจริญรุ่งเรือง สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติกัน ครูบาอาจารย์มี สิ่งที่มีผู้ชี้นำมันจะประพฤติปฏิบัติไปได้ สิ่งที่ไม่มีผู้ชี้นำเราก็มาค้นคว้ากันๆ จนโลกปัจจุบันนี้เจริญมาก การเจริญ เห็นไหม ต้องศึกษาเล่าเรียน ต้องศึกษาให้มาก ต้องรู้ให้กว้าง

การศึกษาเป็นการรู้จำนะ รู้จำเพราะเราศึกษาวิชาการของผู้อื่น สิ่งที่ผู้อื่น เห็นไหม ในสมัยโบราณ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องคุลิมาลไปเรียนในตักสิลา เขามีการศึกษามากนะ แล้ววิชาการของเขา เขาจะเป็นวิชาการ เขาสอนใครก็ได้ เห็นไหม นี่รู้จำ สอนองคุลิมาลจนเรียนได้ทั้งหมด เพื่อนขององคุลิมาลเรียนวิชาการต่างๆ แล้วแต่ใครจะศึกษาสิ่งใด แต่ในเมื่อมีการศึกษามีการเล่าเรียน ปัญญามันจะรู้มาก สิ่งที่รู้มาก แล้วความรู้ เห็นไหม เพราะความรู้จำมันไม่ได้ฆ่ากิเลส ความรู้จำแล้วเกิดการขัดแย้งกันว่าองคุลิมาลเรียนหนังสือได้เก่ง การประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ก็รักใคร่ มีการเอาอกเอาใจกัน

นี่มีการขัดแย้งกัน ถึงได้มีการวางกลอุบายวิธีการ จนอาจารย์นี่นะ เป็นอาจารย์ เป็นผู้ที่รู้กว้าง เพราะรู้วิชาการ สอนเขาได้ทุกวิชาการเลย จนมีลูกศิษย์ลูกหาเข้ามาศึกษากับทิศาปาโมกข์ เขาเป็นอาจารย์สอน นี่รู้กว้าง รู้กว้างสอนอย่างไรก็ได้ รู้กว้างไง สิ่งที่รู้กว้างสอนไป แล้วตัวเองล่ะ ตัวเองมีทิฏฐิมานะ ตัวเองเห็นว่าลูกศิษย์มันคิดจะมีปัญหากับตัวเอง นี่ถึงกับวางแผนนะ จะให้วิชาการ จะให้องคุลิมาลมีวิชาสิ่งที่เลิศกว่าคนอื่น แต่ต้องแลกด้วยนิ้วมือของมนุษย์ ให้องคุลิมาลไปฆ่าเขา

การรู้กว้างโดยกิเลสตัณหา กับความรู้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระกิเลส แล้วความคิดที่จะเอาเป็นสิ่งที่มันเป็นทุจริต มันเป็นไปไม่ได้ แต่การรู้กว้างแบบโลกียะ เห็นไหม นี่หลอกได้แม้แต่ลูกศิษย์ของตัวนะว่าให้ไปตัดนิ้วมือมา ๑,๐๐๐ นิ้วแล้วเราจะให้วิชาการ แต่ความปรารถนาคือปรารถนาจะยืมมือคนอื่นฆ่าลูกศิษย์ไง จะยืมมือคนอื่นฆ่าองคุลิมาล

แต่เพราะองคุลิมาล นี่สาวกสาวกะสร้างบุญกุศลมาเหมือนกัน แล้วไปเข้าญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธกิจ ๕ ญาณขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนรุ่งอรุณจะออกบิณฑบาต จะโปรดสัตว์ สิ่งที่โปรดสัตว์ สัตว์ตัวไหนเข้ามาในข่ายของญาณ ถ้าเข้ามาข่ายของญาณ สัตว์ตัวนั้นจะมีโอกาส ต้องมีโอกาสแล้วเขาจะมีอันตรายไง

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปเอาองคุลิมาลวันนั้น เพราะเหตุผลในครั้งพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเอากองทัพไปกำจัดองคุลิมาล เพราะเป็นมหาโจร เพราะตัดนิ้วมือมา ๙๙๙ นิ้วแล้ว แต่ด้วยเพราะแม่ก็รักลูก อยากจะไปบอกลูก จะไปป้องกันลูกไง แต่ความคิดขององคุลิมาล ใครมาก็แล้วแต่วันนี้ต้องเอาให้ครบพัน เพราะสิ่งที่เขาพยายามจะให้ได้ครบพัน เขาต้องมีความทุกข์มาก เพราะแขวนนิ้วมือที่เน่าๆ ไว้กับคอ

คนซื่อสัตย์ คนที่ว่าขนาดอาจารย์หลอกก็ไม่รู้ว่าหลอก นี่ซื่อสัตย์กับตัวเองแต่โดนคนอื่นหลอกไง วันนี้ถ้าแม่มาจะฆ่าแม่ แล้วไปเข้าข่ายไง เข้าญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปเอาองคุลิมาล วันนี้จะฆ่าแม่ ถ้าเป็นการฆ่าแม่นะ อนันตริยกรรม สิ่งที่อนันตริยกรรม เห็นไหม กรรมขนาดที่ว่ายังไม่ได้มรรคได้ผล สิ่งที่ทำอนันตริยกรรมเขาจะไม่มีโอกาส แล้วเขาจะต้องตกนรกหมกไหม้ นี่พุทธกิจ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามาข่ายของญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบิณฑบาต ถึงต้องออกไปโปรดองคุลิมาล

ผู้รู้จริงนี่ใจเป็นธรรม ใจพยายามช่วยเหลือทุกๆ สัตว์ที่มีชีวิตในโลกนี้ ให้ทุกๆ สัตว์ สัตว์ทุกตัวได้สมดุลกับความเป็นไปโอกาสของเขา แต่ขนาดว่าบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเอาได้มากได้น้อยขนาดไหนก็พยายามเอา เห็นไหม ผู้ที่เป็นธรรมไง

ไปบิณฑบาต ลอยไปข้างหน้า

องคุลิมาลวิ่งมาก “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด”

ทั้งๆ ที่ลอยอยู่นะ สิ่งนี้เป็นอุบายไง สิ่งที่เป็นอุบาย เห็นไหม โลกเขาคิดว่านี่พูดปด สิ่งที่พูดปด แต่นี่เป็นอุบาย อุบายเพื่อต้องการเอาความรู้จากภายใน ต้องการเอาความรู้จริง ไม่ต้องเอาความรู้จำ ความรู้จำมันเป็นเรื่องของภายนอก มันเป็นเรื่องของขันธ์ เป็นเรื่องของสัญญา เป็นเรื่องของความจำ แต่ความรู้จริงคือมันสะเทือนหัวใจไง

“เราหยุดแล้วเธอต่างหากไม่หยุด”

ไม่หยุดเพราะเหตุใด ไม่หยุดการทำความชั่ว ไม่หยุดในการที่ว่าจะตัดนิ้วมือคนอีกไง องคุลิมาลถึงกับขอบวชนะ แล้วองคุลิมาลสามารถชำระกิเลสได้ องคุลิมาลเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งนะ

ความรู้กว้างของโลกมันให้ผลเป็นโทษกับองคุลิมาล แต่ความรู้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถเอาองคุลิมาลที่เป็นมหาโจรนี้ออกมาเป็นพระอรหันต์ได้ เห็นไหม นี่ความรู้กว้างของโลกเขา ความรู้จำ สิ่งนั้นให้โทษ ความรู้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามหาโจรกลับมาเป็นพระอรหันต์ นี่เพราะว่ารู้กว้าง

แล้วรู้ลึกล่ะ? รู้ลึก เห็นไหม ต้องรู้ให้ลึก ต้องรู้สิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ต้องสาวไปหาเหตุให้ได้ ต้องรู้ให้ลึก นี่โลกียะนะ คิดแบบโลก คิดแบบความรู้จำ รู้ให้กว้าง รู้ให้ลึก...รู้ให้กว้าง รู้ให้ลึกนี้เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกจะไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับหัวใจ เพียงแต่เป็นวิชาชีพที่หาอาชีพให้กับการดำรงชีวิตที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ล่ะ

การรู้ลึก เห็นไหม หมอชีวกเป็นหมอนะ ก็ไปศึกษา นี่รู้ลึก รู้ลึกเพราะหมอชีวกเป็นผู้ที่ผ่าสมองได้ ผ่าสมองได้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ เป็นผู้รู้ลึกโรคต่างๆ ที่ว่าสมัยกษัตริย์ต้องขอหมอชีวกมารักษาโรคต่างๆ ที่เขาว่ารักษากันไม่ได้ หมอชีวกไปรักษาใครก็หายๆ เห็นไหม เป็นผู้รู้ลึกเพราะมองก็รู้เข้าใจว่านี่คือโรคอะไร แล้วจะทำสภาวะแบบใด นี่รู้ลึก แต่รู้ลึกขนาดนี้ ขนาดที่ไปทำบุญกุศลกับใคร ไปรักษาหมอที่ไหนมา ไปรักษากษัตริย์องค์ไหนก็แล้วแต่ เขาให้เป็นค่าตอบแทนมา

ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เป็นผู้ยกสวนมะม่วงเป็นวัดให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม รู้ลึกขนาดไหนก็อยากพ้นทุกข์ไง ยิ่งรู้ลึกยิ่งเป็นคนดี ยิ่งใฝ่ดี ยิ่งใฝ่คุณธรรม ยิ่งใฝ่ความเป็นไป

รู้ลึกขนาดไหนมันเป็นรู้ลึกของโลก ใฝ่หาสิ่งที่จะเป็นไปกับหัวใจ เห็นไหม นี่ความรู้ลึกสิ่งที่ความรู้ลึกนี่อ้อนวอนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ถวายผ้า ถวายสิ่งต่างๆ เป็นคหบดีจีวร ได้รับผ้าที่ไปรักษาคนไข้มา ขอถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอทุกอย่างเพราะรู้ลึก รู้ลึกว่าอยากได้สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับชีวิต แต่คุณประโยชน์กับชีวิตที่เขารู้อยู่ เขาหาเลี้ยงชีพอยู่นี้มันเป็นเรื่องของโลกียะ เพราะเขาแก้กิเลสไม่ได้ เขาพยายามจะต้องสั่งสมบุญญาธิการไปเพื่อจะไปชำระกิเลสนะ

รู้ลึกก็เอาตัวเองไม่รอด รู้กว้างก็เอาตัวเองไม่รอด เพราะเป็นความรู้จำ

แต่ถ้าเป็นความรู้จริง เห็นไหม ดูสิ ดูนางวิสาขา นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบนะ เพราะสร้างบุญญาธิการมา นางวิสาขานี้เป็นพระโสดาบัน แต่ขณะที่ว่าเป็นความรู้จริง สิ่งที่เป็นความรู้จริง พระโสดาบันนี่รู้จริงนะ รู้จริง เพราะพระโสดาบันต้องเห็นขันธ์ตามความเป็นจริงไง สิ่งที่เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง การวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม

สิ่งที่ไปพิจารณากาย จะพิจารณากายก็ได้ พิจารณาเวทนาก็ได้ พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาธรรมก็ได้ สิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้ามีความเป็นจริงนะ สิ่งที่ตามความเป็นจริงมันจะเห็น เห็นไหม สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิดในกาย สักกายทิฏฐิ ๒๐ เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์เป็นตามความจริงของมัน ถ้าเป็นพระโสดาบันตามความเป็นจริงแบบนางวิสาขาจะเห็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง เพราะขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สิ่งนี้มันเป็นความจริงของมัน

ถ้าเราวิปัสสนากาย เราทำความสงบของใจให้ได้ เพราะเราพื้นฐานเป็นสาวกสาวกะ สิ่งที่สาวกสาวกะทำความเห็นตามความเป็นจริง สิ่งที่ตามความเป็นจริงพิจารณาเข้าไปแล้วมันปล่อยวางขนาดไหน ถ้ามันปล่อยวางไม่จริงมันจะไม่เป็นความเป็นจริง สิ่งที่ไม่เป็นความเป็นจริงถึงเห็นว่าเพราะขันธ์ไม่ขาดตามความเป็นจริงแบบนางวิสาขา

นางวิสาขานี้เป็นผู้รู้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเป็นความจริงของมัน แต่ขณะเป็นความจริงของมัน นางวิสาขาก็ไปมีครอบครัว มีลูกอีก ๒๑ คน แล้วไปอยู่ในครอบครัวที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะพ่อสามีเป็นพราหมณ์ ไม่มีโอกาสทำบุญ เห็นไหม ผู้ที่เข้ากระแสนะ จิตเข้ากระแสแล้ว สิ่งที่เข้ากระแส ขณะไปอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ต้องการทำบุญของเขา สิ่งที่เขาอยากทำบุญของเขา เขาต้องปรารถนาไปข้างหน้า ปรารถนาบุญกุศลของเขา เพราะนี่เป็นพระโสดาบันโดยสัจจะความเป็นจริง เห็นขันธ์ตามความเป็นจริง มันไม่เสื่อมไง มันไม่เสื่อมเพราะขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ สิ่งนี้มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นกับมันหรอก

แต่ถ้าเป็นผู้รู้จำนะ ว่าขันธ์เสื่อม เสื่อมอย่างไร เสื่อมเพราะขันธ์เป็นเรา เราเป็นขันธ์ไง การศึกษาการเล่าเรียน การจดจำมากลัวมันจะลืม ท่องจำแล้วท่องจำอีก พยายามตั้งสติเพื่อจะให้รับรู้อย่างนั้นนะ เพราะอะไร เพราะมันมีอุปาทานไง เพราะกลัวเสื่อม เพราะกลัวจำไม่ได้ เพราะกลัวไปทุกอย่าง มันเลยเสื่อม เพราะอะไร

เพราะมันไม่ใช่ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ นี่...เพราะขันธ์ ๕ เป็นเรา ถ้าขันธ์ ๕ ไม่เป็นเรา พอวิปัสสนาไป ขันธ์ส่วนขันธ์ จิตส่วนจิต ทุกข์ส่วนทุกข์ แยกกันตามความเป็นจริง สิ่งที่ตามความเป็นจริง มันจะเป็นจริงของมันไง จริงของมันโดยไม่มีอุปาทานไปยึด ถ้าไม่มีอุปาทานไปยึดจะไปทุกข์อะไรกับมัน

มันจะเสื่อมไปไหนในเมื่อมันก็เป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติเกิดดับของความรู้สึก ธรรมชาติเกิดดับของความคิด มันก็มีเกิดดับธรรมชาติของมัน ถ้าไม่มีอุปาทานไปยึดมันจะไม่เสื่อม ขันธ์ ๕ ไม่เสื่อมหรอก ขันธ์ ๕ เป็นธรรมชาติของมัน เพราะขันธ์ ๕ ไม่ใช่ธรรม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่การแก้กิเลส วิปัสสนาญาณต่างหากไปแก้กิเลส

สิ่งที่แก้กิเลส แล้วขันธ์มันเป็นขันธ์ จิตมันเป็นจิต ทุกข์มันเป็นทุกข์ มันแยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน มันจะเสื่อมไปไหน นางวิสาขาไม่มีวันเสื่อม ขนาดว่าไม่มีวันเสื่อมนะ แล้วไปมีครอบครัวด้วย นี่พระโสดาบัน คุณธรรมของพระโสดาบันไง ยังมีครอบครัวเพราะตัดกามราคะไม่ได้ สิ่งที่ตัดกามราคะไม่ได้แล้วไม่ไปยึดมั่นกับมัน ถ้ายังไปยึดมั่นกับมัน เห็นว่าขันธ์กับเราเป็นอันเดียวกัน มันเสื่อมแน่นอนเพราะเราไปยึดมัน เราไปหวั่นไหวกับมัน เราเห็นว่ามันจะเสื่อมไปจากเรา

มันไปยึดมันต่างหากมันถึงเสื่อม ถ้ามันเป็นความจริงอยู่กับมัน มันไม่เสื่อม มันจะเสื่อมไปได้อย่างไร มันเสื่อมไปไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นต่างอันต่างจริงไง ขันธ์คือขันธ์ จิตคือจิต ทุกข์คือทุกข์ มันแยกออกจากกันโดยตามความเป็นจริงของมัน มันจะเสื่อมไปไหน

เห็นไหม ขณะที่เป็นคุณธรรมขนาดนั้นนะ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันโดยตามความเป็นจริงนะ นางวิสาขามีครอบครัว นางวิสาขามีลูก ๒๑ คน แล้วก็มีหลาน แล้วนางวิสาขานี่ไม่แก่ ไม่แก่เพราะสร้างบุญญาธิการมาสภาวะแบบนั้น เห็นไหม เวลามีหลานมาก เวลาหลานตาย นางวิสาขาเสียใจมากนะ พระโสดาบันเสียใจ พระโสดาบันร้องไห้นะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประเพณีของโบราณเขา เวลาลูกหลานตาย การเสียใจเขาต้องทำผมให้เปียกด้วยไง ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “นางวิสาขาเธอเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”

“ร้องไห้เพราะว่าหลานตาย เสียใจมาก”

พระโสดาบันเสียใจนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามนางวิสาขา “โลกนี้มีคนเกิดคนตายประจำไหม”

“มีคนเกิดคนตายทุกวัน”

“แล้วถ้าโลกนี้คนที่เกิดที่ตายเขาเป็นหลานเธอ เธอจะไม่ต้องร้องไห้ทุกวันหรือ”

พระโสดาบัน ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดคัทเอาท์ เห็นไหม คัทเอาท์นี่ไฟมันต่อกันไม่ได้ ขันธ์ถ้ามันขาดตามความเป็นจริงมันจะเป็นอย่างนี้ เพราะพระโสดาบันนี่มีสติ มีสตินะ แล้วถ้าพระสกิทาคามี อนาคามีขึ้นไป จะมีมหาสติ แล้วจะมีสติอัตโนมัติขึ้นไปข้างหน้านะ

ถ้าเป็นพระโสดาบัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนนางวิสาขาเพียงครั้งเดียว นางวิสาขาเข้าใจเลย กลับมาสดชื่นเหมือนเดิม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดคัทเอาท์ระหว่างขันธ์กับจิตออกจากกัน

ขณะที่ขันธ์ออกจากจิต ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ความรู้สึก ความเศร้าใจเสียใจคิดถึงหลานจะไม่มีเลย เห็นไหม ผู้ที่ละขันธ์ ๕ ได้ตามความเป็นจริง มันจะไม่เห็นความเสื่อมของมัน แล้วมันจะเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะมันมีคุณธรรมไง พระโสดาบันมีคุณธรรม พระโสดาบันไม่ลูบคลำในศีล สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันไม่ถือมงคลตื่นข่าว พระโสดาบันเห็นขันธ์ขาดตามความเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนทีเดียว พระโสดาบันได้สติทุกอย่างพร้อมหมดเลย นี่ในสมัยพุทธกาลนะ นี่รู้จริง

แล้วผู้รู้จำล่ะ นี่ฉัพพัคคีย์เป็นภิกษุ ฉัพพัคคีย์กล่าวตู่พระทัพพมัลลบุตร พระทัพพมัลลบุตรเป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์เพราะท่านสร้างสมบุญญาธิการมาก แล้วท่านมาประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นพระอรหันต์ ประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบหรืออย่างไรจำไม่ได้ นี่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่แจกทาน เป็นผู้ที่แจกอาหาร เป็นผู้ที่เอาของให้กับพระไง แล้วฉัพพัคคีย์ได้ไง เวลาไปบิณฑบาตมา เป็นภิกษุ ฉัพพัคคีย์เป็นผู้เก ไม่อยู่ในศีลในธรรม ชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายมาก แล้วจะไปฉันที่ไหนก็จะไม่ได้สมหวัง

แล้วมีอยู่ตระกูลหนึ่งเขานิมนต์ฉันทุกวัน แล้วพระทัพพมัลลบุตรนี่นิมนต์ให้พระฉัพพัคคีย์ไปฉัน ถึงจัดเวรให้พระฉัพพัคคีย์ไปฉัน พอพระฉัพพัคคีย์ไปฉัน ว่าบ้านนี้เราจะได้ไปฉัน บ้านนี้เป็นบ้านเศรษฐี เราบิณฑบาตมา เราบวชมามีแต่ความทุกข์ เราฉันอาหารนี่ไม่เคยถูกปากเลย พรุ่งนี้เราจะได้ไปฉันอาหารที่บ้านที่เขาเป็นเศรษฐี เราจะได้ฉันอาหารที่ถูกปาก อาหารที่ว่าเป็นประณีตในสมัยพุทธกาลนั้น

พอเจ้าของบ้านเขาถามพระทัพพมัลลบุตรว่า “พรุ่งนี้ใครจะมาฉันที่บ้านฉัน”

เพราะพระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้จัดคิวไง บอกว่าพรุ่งนี้จะได้ฉัพพัคคีย์ เพราะเวียนมาให้พระฉัพพัคคีย์ไปฉันบ้านนั้น เขานะ เขาเห็นว่าฉัพพัคคีย์เป็นภิกษุที่น่าเบื่อหน่ายที่สังคมสมัยนั้นเขาไม่ยอมรับไง ฉะนั้น ถ้าพระฉัพพัคคีย์มาฉัน เราไม่ศรัทธา ถึงไปเอาอาหารปกติในสังคมสมัยนั้น ข้าวกับผักดอง พอพระฉัพพัคคีย์ไปถึงบ้าน เขาก็ถวายข้าวกับผักดอง “อ้าว! ฉันเป็นพระฉัพพัคคีย์ ฉันมาถึงบ้านแล้ว เอาสิ่งที่มาถวายฉันสิ” เขาก็เอาข้าวกับผักดองไปถวาย

“ก็จะเอาสิ่งนี้”

“ก็นี่ไง”

นี่มันเป็นความเห็นของคหบดีนั้น มันไม่ใช่เป็นความเห็นของพระทัพพมัลลบุตร แต่ฉัพพัคคีย์เข้าใจว่าพระทัพพมัลลบุตรเป็นคนจัด เป็นคนบอกเขา แล้วเขาจะได้ฉันอาหารโดยถูกปากก็ไม่ได้ไง ผูกใจเจ็บพระทัพพมัลลบุตรนะ หาเรื่อง พยายามหาเรื่องกล่าวตู่กล่าวปรับโทษอาบัติพระทัพพมัลลบุตร กล่าวตู่โทษพระทัพพมัลลบุตร แล้วก็กระจายข่าวออกไป จนข่าวนี้เข้าไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกพระทัพพมัลลบุตร เรียกพระฉัพพัคคีย์มาด้วยกัน แล้วถามพระทัพพมัลลบุตรว่า “เธอทำอย่างนั้นกับเขาว่าหรือเปล่า”

พระทัพพมัลลบุตระบอกว่า “แม้แต่ความคิดในหัวใจยังไม่มีเลย แล้วจะไปทำสิ่งที่เขากล่าวตู่อย่างนั้นได้อย่างไร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ด้วยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่แล้วว่าพระทัพพมัลลบุตรนี้เป็นพระอรหันต์ เพราะพระทัพพมัลลบุตรนี้เป็นคนไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเสร็จกิจแล้ว แต่อยากทำบุญกุศลให้กับหมู่คณะไง ถึงปวารณาตัวว่าพยายามจะทำสิ่งนี้ เพราะพระอรหันต์ใจเป็นธรรม สิ่งที่ทำไปนี่เป็นธรรมทั้งหมดเลย แต่เป็นความเห็นของคหบดีนั้นต่างหาก เพราะพระฉัพพัคคีย์เขาไม่อยู่ในร่องในรอย ก็ไม่ศรัทธาไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ด้วยญาณ แต่ต้องการให้สิ่งนี้เป็นธรรมวินัยไง ถึงถามแล้วว่าแม้แต่ความคิดก็ไม่มี ถามไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่เบี้ยไป พระฉัพพัคคีย์ยอมรับเพราะเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ฉัพพัคคีย์เป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้ปรับอาบัติ ปรับอาบัตินะ “การกล่าวตู่ภิกษุโดยที่ไม่มีมูล ถ้าสงฆ์สวดแล้วไม่ยอม ให้เป็นอาบัติสังฆาทิเสส”

นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือน ปรับอาบัติ แล้วฉัพพัคคีย์ก็ยังสร้างเรื่องต่อไป ยังสร้างปัญหาต่อไป นี่ไปสร้างโดยเล่ห์ไง เห็นสัตว์เขาสืบพันธ์กันก็อ้างชื่อว่าเป็นพระทัพพมัลลบุตร แล้วก็ปล่อยข่าวว่า “พระทัพพมัลลบุตร คราวก่อนเราเห็น แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลำเอียง คราวนี้เห็นแล้วพระทัพพมัลลบุตรนี่เสพกามกัน เห็นซึ่งๆ หน้า” ข่าวนี้ปล่อยออกไป จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เรียกทั้งจำเลย เรียกทั้งโจทก์ เข้ามาสอบสวน

เห็นไหม เป็นการอ้างเล่ห์ เป็นการเอาชื่อของพระทัพพมัลลบุตรไปไว้กับกวาง แล้วพอกวางสืบพันธ์กันก็ว่าเห็น เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรับอาบัติอีก พระทัพพมัลลบุตรก็พูดเหมือนเดิม “แม้แต่ความคิดที่คิดทำใฝ่ต่ำ คิดทำความชั่วยังไม่มีในหัวใจเลย แล้วจะเกิดการกระทำออกมาเป็นวจีกรรม มโนกรรมอย่างนั้นได้อย่างไร” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ด้วยญาณ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เกิดแล้วต้องให้ภาพออกมาโดยชัดเจนไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรับอาบัติฉัพพัคคีย์อีก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนนางวิสาขาที่เป็นพระโสดาบัน เวลาหลานของนางวิสาขาตาย พระโสดาบันมีโอกาสเสียใจ แล้วพอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...“วิสาขา ถ้าโลกนี้มีแต่ลูกของเธอ เธอจะไม่ร้องไห้ทุกวันหรือ” คัทเอาท์ตัดฉับ

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนฉัพพัคคีย์ เตือนแล้วเตือนอีก เตือนแล้วเตือนอีก ฉัพพัคคีย์ก็ทำความชั่วแล้วทำความชั่วอีก ทำความชั่วแล้วทำความชั่วอีก เห็นไหม ความรู้เป็นความจำกับความจริงต่างกัน

ถ้าเป็นความจริงจะเป็นแบบนางวิสาขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนทีเดียวตัดคัทเอาท์เลย กลับมาสำนึกผิดเพราะมันยังมีมารอยู่ในหัวใจ มีมารในหัวใจเพราะยังต้องเกิดต้องตายอีก ๗ ชาติ แต่ฉัพพัคคีย์นี่เป็นความรู้จำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนแล้วเตือนอีก เตือนแล้วเตือนอีก ก็ยังกล่าวตู่ ยังทำความผิด ทำความผิดพลาดตลอดไป

แต่พระทัพพมัลลบุตรบอกว่า “แม้แต่ความคิดก็ยังไม่มีเลย”

ความคิดนะ เวลาว่าขันธ์เสื่อมมันเสื่อมมาจากข้างนอก ความคิด ถ้าเกิดจะเข้าไปเห็นความคิด ต้องยกขึ้นวิปัสสนา สิ่งที่ต้องยกขึ้นวิปัสสนา เห็นไหม เวลาพระโสดาบัน คุณธรรมของพระโสดาบัน เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขาดออกไปโดยสัจจะความเป็นจริงของมัน ต่างอันต่างจริง ในเมื่อต่างอันต่างจริงมันก็อยู่ในสภาวะของมัน

เวลาเราแก่เราเฒ่า เราก็แก่ คนแก่ ปุถุชนก็แก่ ผู้ที่เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ก็แก่เหมือนกัน สิ่งที่คนเฒ่าคนแก่ แก่นี้มันเป็นเรื่องของชีวิต มันเป็นเรื่องสัจจะความจริง เห็นไหม คนเราเกิดมาต้องตายทั้งหมด แต่ถ้าพูดถึงขันธ์มันเสื่อม ขันธ์มันเป็นสภาวะเสื่อมแล้วมันกระเทือนกับหัวใจนี่ คนแก่เขาก็ลืม ขันธ์เขาก็เสื่อมเหมือนกัน แล้วเขาแก้กิเลสได้ไหมล่ะ? เขาแก้กิเลสไม่ได้หรอก เพราะอะไร

เพราะการแก้กิเลสมันจะต้องเห็นสัจจะความจริง ขันธ์ต้องขาดตามความเป็นจริงโดยสมุจเฉทปหาน การที่สมุจเฉทปหานให้ขันธ์ขาดออกไปจากจิตนี้เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไปมันจะเกิดจากการกระทำ เกิดจากมรรคญาณ เกิดจากในศาสนาพุทธ เกิดจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดจากอริยสัจ เกิดจากมรรคญาณที่ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เกิดจากความจำ

ถ้าเกิดจากความจำ ต้องให้รู้กว้าง ต้องให้รู้ลึกเป็นโลกียธรรม มันก็เหมือนอาจารย์ของพระองคุลิมาล รู้กว้างขนาดไหน รู้ลึกแบบหมอชีวก เห็นไหม ความรู้อย่างนั้น ความเป็นไปอย่างนั้นกิเลสท่วมหัว ความทุกข์ท่วมหัวใจ สิ่งที่ท่วมหัวใจเพราะอะไร เพราะยังคิดเบียดเบียนเขา ยังคิดทำลายลูกศิษย์ ยังคิดทำลายทุกคน เห็นไหม นี่ความรู้กว้าง ความรู้ลึกโดยโลกียปัญญาจะเป็นสภาวะแบบนั้น

ความรู้จริง สิ่งที่ความรู้จริง เห็นขันธ์ขาดตามความเป็นจริงอย่างนี้ต่างหากล่ะมันถึงเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยกขึ้นวิปัสสนาต่อไป นี่ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างกลางวิปัสสนา สิ่งที่วิปัสสนา ถ้าจิตมันคด จิตมันมีความคดโกง คดโกงมาตั้งแต่เริ่มต้น คดโกงมาตั้งแต่ความรู้จำว่าสิ่งนี้เป็นความรู้จริง เหมือนพระฉัพพัคคีย์กล่าวโทษเขา ตู่เขา ทำลายเขามาทั้งนั้นเลย สิ่งที่กล่าวตู่เขา ทำลายเขามา นี่เป็นความคด กิเลสมันคดในหัวใจ คดในหัวใจมันก็ทำลายคนอื่น สิ่งที่ทำลายคนอื่นเพื่อจะเอาตัวเองมีอำนาจบาตรใหญ่ สิ่งที่อำนาจบาตรใหญ่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี้เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นอกุศลเป็นศีลไหม เป็นสมาธิไหม เป็นความจริงไหม? มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงต้องมีศีล ถ้ามีศีล จิตต้องปกติ สิ่งที่ปกติต้องมีสติต้องมีความเป็นไป มันจะย้อนกลับเข้ามา ถ้าจิตไม่คดมันจะยกขึ้นไป ตั้งแต่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียด สิ่งที่ขันธ์มันขาดออกไปจากใจ มันอยู่เก้อๆ เขินๆ ของมันโดยธรรมชาติของมัน ถ้าเราไม่ไปยึดติดมัน เราไม่ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ไปอุปาทานว่าเป็นของเรา สิ่งที่เป็นของเรามันก็เป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง เป็นเครื่องมือที่จะให้จิตนี้ใช้เป็นทางผ่านอันหนึ่ง

สิ่งที่ใช้เป็นทางผ่าน เห็นไหม คนที่เป็นปุถุชน คนที่เขาเป็นคฤหัสถ์เขาก็มีขันธ์ เขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน สิ่งที่มีเขาเป็นคฤหัสถ์ เขาก็มีธาตุเหมือนกัน สิ่งนี้มันเจริญแล้วมันเสื่อม มันเป็นประโยชน์กับหัวใจ เขาก็เจริญ เขาก็เสื่อมเหมือนกัน เขาก็จำได้เหมือนกัน เขาก็ทำลายเหมือนกัน เขาก็ลืมเหมือนกัน เขาก็ต้องตายเหมือนกัน ขันธ์ ๕ มันก็ต้องพลัดพรากจากจิตของเขาเหมือนกัน

สิ่งที่เหมือนกัน แต่เขาพลัดพรากอย่างนั้นเขาพลัดพรากโดยอุปาทานไง เขายึดมั่นนะ เกิดมาแล้วก็ต้องตาย สมบัติหามาแล้วจะฝากไว้ให้ใคร แล้วลูกล่ะ แล้วสมบัติของเราล่ะ แล้วเกิดแล้วจะไปไหน เขาตายพร้อมกับความยึดมั่นนะ ขันธ์น่ะ ขันธ์ของเขา ความยึดมั่นของเขา บุญกุศล บาปอกุศลของเขาตายไปกับใจของเขา

แต่ถ้าพระโสดาบันนี่มีสติพร้อม สิ่งที่มีสติพร้อม ถ้าจะตาย สิ่งที่จะตายก็พร้อมกัน พร้อมเพราะความเข้าใจสัจธรรมความเป็นจริง สิ่งที่ความจริงเกิดแล้วก็ต้องตาย ในเมื่อเข้าใจกิเลสขาดตั้งแต่ต้น มันจะสะเทือนใจไปถึงที่ไหน แล้วถ้าย้อนขึ้นไป นี่ขันธ์อย่างกลางมันก็ต้องทำอย่างนี้ มันต้องไม่มีอกุศล มันต้องไม่มีมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดมันจะขึ้นไปขันธ์อย่างกลางได้อย่างไร

มันจะไปชำระสิ่งที่เป็นขันธ์อย่างกลาง เห็นไหมว่าขันธ์มันเสื่อม...มันจะเสื่อมไปไหน ในเมื่อถ้าเห็นตามความเป็นจริง มันจริงของมัน มันก็จริงของเรา จริงของเราเพราะจิตเราจริง ขันธ์มันก็จริงของมัน ทุกข์มันก็จริงของมัน ทุกข์มันก็มี พระโสดาบันก็มีการขับถ่าย มีการกินการอยู่เหมือนกัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ก็มีการกินการอยู่เหมือนกัน การกิน การอยู่ การกระหาย ไม่ทุกข์หรือ? ทุกข์ ทุกข์อะไร? ทุกข์ของขันธ์ไง ไม่ใช่ทุกข์ของจิตหรอก เพราะมันเข้าใจตามความเป็นจริง เพราะมันมีสติ มันมีความรู้เท่า

สิ่งที่ความรู้เท่า เหมือนผู้ใหญ่ สิ่งที่ผู้ใหญ่มันรู้ตามชีวิตทั้งหมด มันไม่ตื่นเต้นไปกับชีวิต เห็นไหม เด็กมันตื่นเต้นมาก เห็นอะไรมันก็ตื่นเต้น แล้วก็ยึดว่าเป็นของมัน สมมุติซ้อนสมมุตินะ เพราะสัจจะความจริงนี้เป็นสมมุติ สัจจะของโลกไง ธรรมที่เคลื่อนไปในวัฏฏะนี่มันเป็นความจริง เห็นไหม สัจจะความจริงนี่มันก็สมมุติ แล้วตัวเองก็ไปสมมุติซ้อน เด็กมันสมมุติซ้อนเพราะมันต้องการเป็นตามความเห็นของมัน มันเรียกร้อง มันร้องไห้ มันต่อรองเพื่อจะให้เป็นความจริงของมัน นี่เด็กนะ นี่ความเห็นเด็กๆ ความเห็นของเด็กมันละอย่างขันธ์ตามเป็นจริง ถ้ามันเห็นจริงอย่างนี้มันจะเป็นเด็กได้อย่างไร มันต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันต้องมีสติ มันต้องมีสัมปชัญญะของมัน แล้วมันยกขึ้นมาวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม แต่วิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรมโดยอะไร

โสดาปัตติมรรค สิ่งที่เป็นโสดาปัตติมรรคมันมีดำริชอบ เพียรชอบ งานชอบ สิ่งที่เป็นความชอบของมรรคของโสดาปัตติมรรคมันทำงานกันอย่างไร พระโสดาบันจะเข้าใจตรงนี้ เข้าใจตรงนี้เพราะสิ่งนี้เป็นประสบการณ์ พระโสดาบันแบบนางวิสาขาจะไม่หลงใหล ด้วยความเห็นอารมณ์ของจิต ด้วยธรรมที่มันเกิดดับๆ ของจิตอันนั้น อันนั้นกิเลสมันหลอก กิเลสเรา สิ่งที่เกิดดับ สิ่งที่ความเป็นไปของใจมันหลอกเรา

พระโสดาบันรู้จักตามความเป็นจริง เพราะเห็นความเป็นไป เพราะมันเกิดปัญญา เพราะเกิดมัชฌิมาปฏิปทาในหัวใจแล้วรอบหนึ่ง เห็นไหม ถึงต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ย้อนขึ้นไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมโดยสัจจะความจริง สัจจะความจริงเพราะศีลบริสุทธิ์ สัจจะความจริงเพราะสิ่งนี้เป็นสัมมาสมาธิ สัจจะความจริง ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์มันเป็นมิจฉาสมาธิ ความเห็นความเป็นไป จิตสงบ สงบได้ เวลาคนติดไง เวลาหลง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นพระโสดาบัน แต่ขึ้นไปมันยังหลงอยู่ หลงเพราะอะไร? หลงเพราะยังมีอวิชชา หลงเพราะยังมีสิ่งที่ว่าพญามารทำให้ขับเคลื่อนสิ่งนี้ให้มันไขว้เขว สิ่งที่ไขว้เขวนี้คือสิ่งที่เป็นเรื่องของมาร

แล้วสิ่งที่เรื่องของธรรม คุณธรรมต้องเกิดกับเรานะ ถ้าไม่มีคุณธรรมกับเรา เราจะก้าวเดินไปอย่างไร จิตจะยกขึ้นไปอย่างไร เห็นไหม เราจะยกขึ้นไปวิปัสสนา เราต้องมีคุณธรรม ในเมื่อจิตเราเป็นพระโสดาบัน ผ่านกระแส เข้ากระแสนิพพาน สิ่งที่เข้ากระแสนิพพาน เห็นไหม ทำความผิดพลาดโดยที่มีสติ เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่รู้จำ มันทั้งบิดเบือน มันทั้งกล่าวตู่เหมือนเด็กๆ เรียกร้อง ต้องการให้ธรรมะเป็นความเห็นของตัว ตัวมีความเห็นอย่างไร แล้วเรียกร้องธรรมะ บังคับธรรมนะ ธรรมธาตุ บังคับสัจธรรมความเป็นจริงให้เข้ามาเป็นความเห็นของตัว มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้หรอก เวลากิเลสมันหลอก หลอกขนาดนั้นนะ วิปัสสนาสูงขึ้นไปมันจะเห็นความหลอกกันอย่างนั้นไง

สิ่งที่กิเลสหลอก เพราะมันคดเคี้ยว กิเลสมันคดเคี้ยวหลอกใจนี้ นี่ความรู้จำสิ่งนี้เอามาสะสม เอาแต่บาปอกุศลสะสมลงไปที่ใจของมัน ทำให้ใจของมันได้รับแต่ผลของกรรม สิ่งที่ผลของกรรมทับถมไป ทั้งๆ ที่ว่าตัวเองประพฤติปฏิบัติแบบฉัพพัคคีย์นะ ทั้งๆ ที่ว่าตัวเองเป็นนักปฏิบัติ ทั้งๆ ที่ว่าตัวเองเป็นภิกษุ กล่าวว่าเป็นภิกษุผู้ขอ ผู้ไม่ผูกโกรธใครไง ผู้ขอ เห็นไหม เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี้เป็นศีลไง ถ้าย้อนกลับเข้ามาอย่างนี้ สิ่งที่เป็นมิจฉามันจะไม่เข้ามา เข้ามาไม่ได้หรอก

เพราะความเป็นมิจฉา สิ่งที่เป็นมิจฉามันก็พาให้ล้มลุกคลุกคลานไป เพราะกิเลสมันหน่วงเหนี่ยว หน่วงนำไป สิ่งที่หน่วงนำไปมันมาชักให้จิตนี้ส่งออก สร้างภาพจินตนาการเป็นธรรมะออกไป แล้วก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมนะ แต่ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องมีสติย้อนกลับมาที่จิต

เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิต สิ่งที่อยู่ที่จิตมันจะเข้าถึงตัวจิตนี้ได้ มันต้องผ่านอาการของใจ อาการของใจคือขันธ์อย่างกลางนี้มันสร้างภาพ มันมีความคิด มันมีความคิดที่ว่าเราจะจำไม่ได้ เราจะไม่มีปัญญา จะใช้สังขารปรุงของเรา จะต้องใช้สัญญาจำสิ่งต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์สั่งสมไว้ เราต้องจำสิ่งนั้นมาเป็นสมบัติของเรา แล้วจะมาบังคับให้ธรรมนี้เป็นความเห็นของเรา เห็นไหม มันโง่หลายชั้นนัก

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง สิ่งนี้มันทำความสงบเข้ามาแล้วให้มันปล่อยวางเข้ามา ให้มันเป็นธรรม เป็นธรรมคือมันเป็นข้อเท็จจริงของจริตนิสัยของแต่ละคนที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นมีอำนาจ มีวาสนา มีจริตนิสัยต่างกัน สิ่งที่อำนาจวาสนาจริตนิสัยต่างกันให้มันเป็นความจริงในสภาวะอย่างนั้นให้มันต่างกัน นี่ให้อย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเปิดทางไว้ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้ถ้าจิตสงบมาแล้วจับสภาวะแบบนี้ วิปัสสนาจะเกิด เกิดเพราะมันเป็นธรรมของอริยสัจ เป็นธรรม เป็นมรรคญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวกสาวกะ ในเมื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยมันมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วคือทฤษฎีไง คือสิ่งที่จะรู้ สิ่งที่ไปรู้จำมานี่เป็นปริยัติไง

นี่หลวงปู่มั่นบอก ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แยกจากกันไม่ได้ ถ้าแยกจากกันไม่ได้ มันจะเกิดผลจากความเป็นจริง ถ้าเราเป็นปริยัติ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เอากิเลสเข้าไปบวก แล้วก็คาดการณ์ ถึงการกล่าวหรือการแสดงออกมามันจะไม่เป็นธรรม ไม่เป็นธรรมเพราะมันไม่มีความเห็นจริง เพราะไม่มีความเห็นจริงว่าสิ่งที่ขันธ์มันขาด มันขาดอย่างไร สิ่งที่ขันธ์มันขาด สิ่งที่มันปล่อยวางอย่างไร มันไม่เห็นสภาวะแบบนั้น คนไม่เคยเห็น คนไม่เคยมี จะพูดให้มันเป็นความถูกต้อง เป็นไปไม่ได้ คนที่เคยเห็นเคยมี เคยเห็นความเป็นไปของอย่างกลางได้...

...ถ้าเห็นขันธ์อย่างกลางได้ วิปัสสนาเกิดด้วยปัญญาของเรา เห็นไหม ใคร่ครวญมันไป ใคร่ครวญโดยใช้ปัญญาญาณ ใคร่ครวญไปให้มันเป็นความสมดุลของมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ใช่ใคร่ครวญไปแบบเด็กเรียกร้องธรรมนะ ถ้าเด็กเรียกร้องธรรมนี่มันผิดมาตั้งแต่แรก แล้วก็ผิดไปตลอด เรียกร้องเอาตัวตนมาเป็นใหญ่ไง เอาอุปาทาน เอาจิตของเราเป็นใหญ่ แล้วพยายามสะสมจำ นี่รู้จำ จำธรรมของครูบาอาจารย์มาแล้วก็สร้างภาพ แล้วก็จะบังคับขู่เข็ญให้ธรรมเกิดกับใจของเรา บังคับขู่เข็ญให้ธรรมในใจเกิดขึ้นมา ในเมื่อบังคับขู่เข็ญให้ธรรมเกิดขึ้นมาจากใจของเรานี่ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เหมือนเด็กเรียกร้องสิ่งต่างๆ ต่อรองอำนาจต่างๆ เห็นไหม จิตนี้มันเป็นเด็กๆ...

...แต่ถ้าเรามีคุณธรรม เรามีความซื่อสัตย์กับตัวเองแบบนางวิสาขา แบบพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติที่มีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ เขาจะต้องทำของเขาไป หน้าที่ของเราสร้างเหตุ เห็นไหม สิ่งใดก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นมา เราสาวไปหาเหตุสิว่าเราทำอย่างใด เราปฏิบัติอย่างใด แล้วผลมันถึงเกิดมาเป็นสภาวะแบบนี้ นี่ถ้าเราสาวไปแล้วเราล้มลุกคลุกคลาน เพราะเราวางใจของเราไม่ถูกต้อง เราถึงต้องพยายามวางใจของเราให้ถูกต้อง ให้ศีลบริสุทธิ์

ศีลมันบริสุทธิ์มาตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน มันบริสุทธิ์แน่นอน บริสุทธิ์เพราะไม่สีลัพพตปรามาส แต่ถ้ากิเลสมันกล่าวตู่อย่างนี้ มันทำขึ้นไป มันเป็นสิ่งที่ความหลงใหลจากกิเลสอย่างละเอียด ถ้ากิเลสยังไม่หมดจากใจ มันยังมีข้อโต้แย้งตลอดนะ ในเมื่อกิเลสมีอยู่ การโต้แย้งของกิเลสมันจะโต้แย้งตลอด สิ่งที่โต้แย้งมา ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา นางวิสาขายังต้องเกิดอีก ๗ ชาติ แต่ถ้าเรามีวาสนา มันโต้แย้งมาขนาดไหน มันจะให้ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน เราก็จะต้องถามสิ่งที่เกิดขึ้นมาว่าสิ่งนี้ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด แล้วไม่ถูกต้อง การเกิดมาสภาวะแบบนี้เราทำมาอย่างใด เอาสิ่งนี้มาตั้ง มาชั่งตวงวัดน้ำหนัก สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาอย่างไรนั้นเราค่อยดำเนินการต่อไปให้มันเป็นความจริง

การวิปัสสนาไปขันธ์อย่างกลางมันจะปล่อย ปล่อย ถ้ามันขาดนะ โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง สิ่งที่โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง ระหว่างกายกับจิตแยกออกจากกันโดยสัจจะความเป็นจริง กายเป็นโพธิ จิตเป็นกระจกใส เห็นตามความเป็นจริงแบบนี้นะ นี่ขันธ์อย่างกลางนะ

ว่าขันธ์เสื่อมๆ มันเสื่อมไปไหน เพราะอย่างหยาบมันก็ปลดไปชั้นหนึ่ง อย่างกลางมันก็ปลดไปชั้นหนึ่ง เห็นไหม ถ้าปลดไปชั้นหนึ่ง ถ้าไม่มีอำนาจวาสนามันก็จะติดอยู่ในความว่างอย่างนี้ นี่กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน เวิ้งว้าง โลกนี้ราบเป็นหน้ากลอง ขณะที่เห็นอันนั้นโลกนี้จะราบไปหมดเลย จิตนี้ปล่อยวางไปหมดเลย มีความสุขมหาศาลเลย นี่สามารถติดได้ ถ้าติดสภาวะแบบนี้มันก็ก้าวเดิน นี่กิเลสอย่างละเอียดยังมีในหัวใจ ขันธ์อย่างละเอียดยังมีในหัวใจ สิ่งที่ความโต้แย้ง ความหลอกลวงของขันธ์อันละเอียด เพราะขันธ์อันละเอียดจากภายในมันจะเป็นกามราคะ

สิ่งที่เป็นกามราคะ เห็นไหม ในห้างร้าน ในบริษัทต่างๆ ผู้ที่กำหนดนโยบาย ผู้ที่บริหาร ผู้นั้นจะกำหนดสิ่งนั้นได้ทั้งหมดเลย จิตก็เหมือนกัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ที่พระทัพพมัลลบุตรบอกว่าแม้แต่ความคิดก็ไม่มีนี่ มันอยู่ข้างบนโน่นนะ มันอยู่ตรงที่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ไง แล้ว อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แล้วมันก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง

ถ้ามีมารมันก็มีเสนามาร ลูกของมาร นางตัณหา นางอรดีอย่างนี้ ถ้าสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ควบคุมไง พ่อเป็นผู้ที่กำหนดนโยบายแล้วมีประสบการณ์มหาศาล เป็นผู้ที่สงบเสงี่ยม มันนอนซ่อนอยู่ในราชวัง แต่ไอ้ที่ออกมาบริหาร ผู้ที่ออกมาขับเคลื่อน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกมาขับเคลื่อนอย่างนี้ ถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นออกมาขับเคลื่อน หัวใจมันจะก้าวไปสภาวะแบบนั้น ถ้าเราติดในความว่างเราจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย สิ่งนี้ไม่เห็นเลย เพราะมันติด มันมองไม่เห็น มันมืดบอด สิ่งที่มืดบอดเพราะจิตมันไม่มีอำนาจวาสนา ถ้าจิตมีอำนาจวาสนามันจะเริ่มสร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมพลังงานของจิต เพราะสร้างสมพลังงานขึ้นมามันจะไปเห็นขันธ์อย่างละเอียดไง

ขันธ์อย่างละเอียด เห็นไหม สัญญาอย่างละเอียด เพราะสัญญาตัวนี้เกิดตายๆ มานี่ อย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับไปบุพเพนิวาสานุสติญาณ สัญญาตัวนี้มันออกใช้ในปัจจุบันนี้เป็นสัญญาอย่างละเอียดที่ใช้อยู่นี้ แต่ข้อมูลจริงมันอยู่ใน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ อยู่อันนั้น อันที่เป็นความคิดที่ว่า ความคิดก็ไม่มีอยู่อันนั้น แต่อันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ลูกของมารพยายามใช้สิ่งนี้

ถ้าสิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึก สิ่งนี้ทำให้เกิดความโต้แย้ง สิ่งนี้ทำให้เกิดความเห็น ถ้าใครมีความเห็นต่างจากที่เราเห็นนี้ เราจะบอกว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม เรานี่เป็นธรรม เราที่มันกอดนางตัณหา กอดนางอรดีอยู่นี่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะมันไม่รู้ เพราะมันไม่เห็น มันเป็นความจริงมา ๒ ส่วน แต่ความจำอันละเอียดไง ความจำอย่างหนึ่งว่าครูบาอาจารย์เคยทำมาอย่างนั้น ครูบาอาจารย์เคยสั่งสอนมาอย่างนั้น เราก็สร้างจินตนาการออกมาอย่างนั้น แล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ

สิ่งที่เป็นธรรมมันก็เรียกร้อง มันก็แสวงหา แล้วถ้าครูบาอาจารย์หรือหมู่คณะพูดโต้แย้งมันจะเกิดแบบฉัพพัคคีย์ มันจะโต้แย้ง มันจะคัดค้าน มันจะทำสิ่งใด ผูกมัดสิ่งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนแล้วเตือนอีกนะ

แต่ถ้าพูดถึงเป็นธรรมนะ มันจะไม่โต้แย้ง มันจะค้นคว้าหาของมัน สิ่งนี้เราต่างหากจะเอาตัวเอง เราชนะตนเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนนี้ต่างหากจะเอาใจดวงนี้พ้นออกไปจากกิเลส ตนนี้ต่างหากจะเอาใจดวงนี้ไม่ให้เกิดให้ตายอีก ตนต่างหากแบบเจ้าชายสิทธัตถะไปเห็นเทวทูตทั้ง ๔ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ถ้าเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถชำระกิเลสออกไป ถ้าเราเห็นสภาวะแบบนั้นเราก็จะเห็นว่ามันยังเกิด ยังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย อยู่

สิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย มาจากไหนล่ะ? มาจากกามราคะ โอฆะการเกิดและการตายของจิต จิตเกิดใน ๔ เกิด ๔ อย่าง เห็นไหม โอปปาติกะ เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ สิ่งนี้ยังเกิด เพราะกายกับจิตแยกออกจากกัน แต่มันก็ยังเกิด เกิดนี่กิเลสอย่างละเอียดมันก็สภาวะแบบนั้น เราต้องทำความสงบ เราต้องมีอำนาจวาสนา มันจะเข้าไปเห็นขันธ์อันละเอียดนะ

ขันธ์อันละเอียดเป็นสัญญา เป็นเวทนา สิ่งที่เป็นเวทนามากระทบ สัญญาไง สัญญาข้อมูล มันมีข้อมูลสิ่งใด สิ่งที่ข้อมูลสิ่งใด เวทนามันเข้าไปรับรู้สอดรู้ นี่สังขารปรุง ปรุงร้อยแปดเลย ปรุงว่าเป็นธรรม ปรุงว่าเป็นความว่าง ปรุงว่าสิ่งต่างๆ ปรุงไปหมดเลย นี่มันหลอกให้ใจติดนะ ถ้าใจติดแล้วเราเชื่อตัวเราเอง เราเชื่อกิเลสด้วย แล้วก็ไม่ยอมให้ใครโต้แย้งด้วยนะ ไม่ยอมให้ใครคัดค้านกับสิ่งที่เรารู้ด้วยนะ

สิ่งที่เรารู้มันเป็นกิเลส มันเป็นเรื่องของกามที่มันสอดเข้ามาให้เราเชื่อมัน เรายังโต้แย้งเลย เรายังโต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายังไม่พอใจกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เห็นไหม เราโต้แย้ง เราคัดค้านกับความเป็นจริงไปทั้งหมด ถ้าเรายังมีกิเลสในหัวใจ แต่มันเป็นความละเอียดนะ มันเก็บซ่อนไว้ในหัวใจ มันจะไม่บอกใคร หน้าฉากมันจะยิ้มแย้มแจ่มใสว่าฉันนี่เป็นผู้ที่สงบเสงี่ยม ฉันเป็นผู้ที่มีธรรม แต่ในหัวใจมันเผา ในหัวใจมันร้อนรน ในหัวใจเอาสิ่งนี้เผาลนใจตัวมันเอง เพราะอะไร เพราะมันไม่ยอมย้อนกลับ

แต่ถ้ามันย้อนกลับ มันเข้าไปจับได้นะ ถ้าเข้าไปจับ จับอะไร? จับผู้ที่เป็นพญามาร จับผู้ที่เป็นลูกหลานพญามาร จับผู้ที่เอาสิ่งนี้ขับเคลื่อนให้เป็นเครื่องมือของมันไง เพราะสิ่งนี้มันมีอุปาทานอันละเอียด มันจับจิตพลังงานที่ว่าความคิดนั้นออกมาถึงกามนี้ มันจะชุ่มไปด้วยกามนะ มันแสวงหาสิ่งใดก็เพื่อมัน ทำสิ่งใดก็เพื่อมัน เห็นไหม เพื่อมันทั้งหมดเลย เพื่อมันนะ แล้วมันทำสงบเสงี่ยมอีกด้วยนะ หลอกให้เรายังต้องไปเกิดไปตายอีก แต่ถ้าเรามีสติ เรามีสัมปชัญญะ แล้วเราย้อนกลับ ย้อนกลับ เห็นไหม ทวนกระแส

เพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศากยบุตร บุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังไม่เป็นบุตรแท้ไง เป็นบุตรที่ว่าศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วยังต้องเกิดต้องตายอยู่ ถ้าย้อนกลับเข้ามา เราย้อนกลับมาเห็นกามราคะ ถ้าวิปัสสนาในกายมันก็จะเป็นอสุภะ ถ้าวิปัสสนาจิต มันเป็นกามราคะ กามราคะคือสิ่งที่เป็นกาม มันพอใจในตัวมันเอง มันพอใจ มันยึดมั่น สิ่งนี้มันพอใจ ลึกๆ นะ ลึกมาก ลึกเพราะอะไร เพราะเราละขันธ์อย่างหยาบอย่างกลางมา สิ่งนี้มันอยู่ลึกๆ ในหัวใจ เพราะเป็นข้อมูล มันกระทบกันในหัวใจ มันชุ่มไปด้วยกาม ใจนี่ ความคิดเป็นกาม กามเกิดจากใจ

ผู้ที่เขาเป็นกษัตริย์เป็นผู้ปกครองประเทศ เขาเป็นผู้กำหนดนโยบาย เขาเอาสิ่งใด ทุกคนต้องเข้าไปจำนนกับเขานะ ทุกคนต้องขอ ต้องพยายามประจบสอพลอกับผู้ที่เป็นกษัตริย์ กับผู้ที่เป็นผู้บริหารประเทศ เห็นไหม เพื่อที่จะเอาตำแหน่ง เพื่อที่จะเอาผลประโยชน์ เพื่อที่จะเอาทุกอย่างเลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นความละเอียดอยู่ในหัวใจ กิเลสมันไปสอพลอสภาวะแบบนั้น ถ้าเข้าไปแล้วมันจะเข้าไปเป็นฐานอำนาจของกิเลสทั้งหมดเลย แล้วเราจับอย่างนี้ไง นี่ที่ว่าเป็นขันธ์ไง สิ่งที่เป็นขันธ์ สิ่งที่ว่าเป็นสัญญา เป็นเวทนา สิ่งที่ว่าเป็นรูปจากภายใน นี่มันเป็นกามราคะ วิปัสสนาไปใช้ปัญญาเป็นมหาสติ มหาปัญญา

แม้แต่ปัญญาอย่างหยาบๆ นะ ที่เข้าใจโดยโสดาปัตติมรรค เห็นตามความเป็นจริงนะ เข้ากระแสนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนหนเดียวยังฟังแบบนางวิสาขา แล้วเข้าไปถึงข้างในมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา สิ่งที่เป็นมหาสติ มหาปัญญา มันทุจริตกับตัวมันเองแทบไม่ได้เลย แทบไม่ได้เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเหมือนกับคุณธรรมในหัวใจที่มันเป็นความร่มเย็นที่มันจะไม่เกิดไม่ตายอีก เราสงวนรักษาเราอยากได้ไง

ถ้าเราอยากได้ เราอยากไม่เกิดอีกโดยธรรม มันจะไม่ทำให้เป็นอกุศล ไม่ทำให้เป็นสิ่งโต้แย้งกับใจของตัวเอง เพราะมันเป็นปัญญาอย่างละเอียด เพราะเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันจะไม่โต้แย้งครูบาอาจารย์ มันจะไม่โต้แย้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันโต้แย้งครูบาอาจารย์ มันโต้แย้งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันคิด มารมันคุมไง มารอาศัยขันธ์อันละเอียดนี้เข้าไปโต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โต้แย้งกับสิ่งต่างๆ แล้วมันยึดว่าเป็นธรรม มันถึงไม่เป็นธรรม ถ้ามันเป็นธรรม มันเป็นมหาสติ

มหาปัญญา มหาสติ มหาปัญญา ปัญญามันละเอียดลึกลับขนาดนี้ มันต้องคุมตัวมันเองได้ มหาสติไง มหาสติมันต้องทันความคิดของตัวสิ ทันความเห็นจากภายในที่มันเห็นผิด ถ้าทันความเห็นจากภายในที่มันเห็นผิด เห็นไหม เห็นผิดในกาม เห็นผิดในกามมันก็เสวยในตัวของมันเอง สติปัญญาเข้ามาใคร่ครวญมัน มันก็ปล่อย ปล่อย เห็นไหม นี่ขันธ์อันละเอียด ขันธ์อันละเอียดเป็นความคิดอย่างหยาบๆ ไง

อย่างหยาบๆ คือมันเป็นความคิดของขันธ์สัญญา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันออกไปเสพกามกัน เสพสิ่งกระทบกัน มันเสพกามมันถึงเป็นความคิดอันหยาบของโลก ละเอียดลึกลับของธรรม ของธรรมเพราะมันเข้าไปเห็นถึงขันธ์อันละเอียดจากภายใน เป็นมหาสติ มหาปัญญา มันจะหยาบไปไหน หยาบได้อย่างไร ในเมื่อเป็นมหาปัญญา

ถ้าเป็นมหาปัญญา เห็นไหม การใคร่ครวญของใจสภาวะแบบนี้มันเห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ นี่จะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากหัวใจ จะไม่ฝ่าฝืนธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะโต้แย้งกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โต้แย้งกับธรรม เพราะมันเข้ากระแสจนมาเป็นมหาปัญญาอย่างนั้น

มันใคร่ครวญ มันปล่อยวางอย่างนี้ ใคร่ครวญปล่อยวางถึงที่สุดมันขาด ปล่อยวางขาดนะ นี่ขันธ์อย่างละเอียดก็ต้องขาดออกไปจากใจ แล้วฝึกซ้อมๆ นี่ขันธ์มันฟอกให้เศษส่วนมันออกไป จนว่างหมด เห็นไหม โมฆราชโลกนี้ว่างหมดเลย ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกนี้ว่าง โลกนี้ว่าง เธอต้องถอนอัตตานุทิฏฐิ ขณะที่ว่าพิจารณาโดยตัวมันเอง...

...มันก็มีความสุข ความสุขของพระอนาคามีนะ แต่มันติดน่ะ

ขณะที่ซ้อมทำลายสิ่งที่เป็นขันธ์อันละเอียด...

...ปล่อยเข้ามา ปล่อยว่างหมดเลย ธาตุรู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นความลึกลับมาก พระทัพพมัลลบุตรบอกว่าแม้แต่ความคิดยังไม่มี เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันอุ่นกินในความคิดของมันไง ความว่างมีความรู้สึก มันรู้สึกถึงความว่างมันก็มีความคิดของมัน ความคิดอันละเอียดมันขลุกขลิกในตัวของมันเอง แต่ถ้ากิเลสเอาสิ่งนี้มามอง มันจะว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน สิ่งนี้เป็นความว่าง สิ่งนี้เป็นธรรม มันจะยึดมั่นตัวของมันเอง แล้วก็ติดไง นี่ครูอาจารย์สำคัญสำคัญมหาศาลเลย

หลวงตาท่านบอกเลยว่าท่านเห็นจุดและต่อมของจิต ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่นี่มันต้องขาดภายในวันนั้นเลย แต่เพราะขาดหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว ท่านไม่มี ท่านจะไปปรึกษาใคร เพราะไปศึกษากับครูบาอาจารย์องค์อื่นเขาไม่รู้ เหมือนหมอ เปลี่ยนหมอ ถ้าเปลี่ยนหมอเขาจะไม่รู้อาการของใจมาขนาดไหน ถึงต้องค้นคว้าเอาเอง เห็นไหม ผู้ที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ค้นคว้าหาเข้ามา ย้อนกลับตลอด ย้อนกลับถึงเข้าไปจับสิ่งนี้ได้นะ นี่ขันธ์อันละเอียดมันทิ้งมาหมดแล้ว มันต่างอันต่างจริง มันจะเสื่อมไม่เสื่อม มันเป็นสมมุติ

แต่ถ้าเราเข้ามาเห็นความคิด พระทัพพมัลลบุตรนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถาม แม้แต่ความคิดยังไม่มีเลย นี่ย้อนกลับไปจับตรงนี้ได้ ถ้าย้อนกลับไปจับตรงนี้ได้ สิ่งที่ว่าเป็นมหาสติ มหาปัญญา ถ้าเราใช้ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาของขันธ์ ปัญญาของขันธ์ คือสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่งระหว่างขันธ์กับจิต ระหว่างธาตุรู้ตัวนี้ ระหว่างมาร พญามารกับลูก เห็นไหม สิ่งนี้กระทบกระเทือนกัน มันถึงออกมาเป็นมหาปัญญา แต่ขณะที่ว่าไม่มีสิ่งที่กระเทือนกัน เพราะว่าขันธ์อย่างละเอียดขาดออกไปจากใจ ในเมื่อขันธ์ละเอียดขาดออกไปจากใจ ตัวของจิตมันไม่เป็นขันธ์ มันเป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นปัจจยาการที่สืบต่อที่เป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวแต่ ๑๓ อาการที่มันหมุนไปพร้อมกัน

สิ่งนี้เอาปัญญาในขันธ์ ปัญญา มหาปัญญาเข้าไป มันเป็นเครื่องมือคนละชั้น มันเป็นมรรคอย่างหยาบกับละเอียดที่เข้ากันไม่ได้ ถ้ามรรคอย่างหยาบอย่างละเอียดเข้ากันไม่ได้ มันจะเข้าไปชำระกิเลสได้อย่างไร มันถึงต้องใช้มรรคอย่างละเอียด เห็นไหม อรหัตตมรรคสิ่งนี้ละเอียดมาก มันเป็นการซึมซับ มันไม่มีการกระทบ มันไม่มีการสืบต่อ ไม่มีการกระทบ ไม่มีการสัมพันธ์กัน สิ่งที่สัมพันธ์กัน เห็นไหม ถึงว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันจะย้อนกลับ มันจะกลืนตัวมันเองกลับ

อาโลโก อุทปาทิ ความรู้ความกระจ่างย้อนกลับทวนกระแสเข้าไปจนถึงตัวของมันเอง เห็นไหม ถ้าจับสิ่งนี้ได้ ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้น มันจะเข้าไปทำลายความคิด ทำลายสิ่งที่ว่าเป็นอวิชชา ทำลายตัวพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าทำลายสิ่งนี้หมด ทำลายอวิชชาออกไปจากใจ นี้ถึงเป็นเอโก ธัมโม สิ่งที่ไม่เป็นของคู่ นี่คือธรรมแท้ นี่คือวิมุตติสุขที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้จริง แล้วครูบาอาจารย์ของเราก็รู้จริง

สิ่งที่รู้จริง รู้จริงขึ้นมาจากการภาคปฏิบัติ สิ่งที่ปฏิบัติ ศึกษาปริยัติมาเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน เป็นสิ่งที่ว่าเป็นวิชาการ แต่ถ้าไม่มีการปฏิบัติ เห็นไหม รู้กว้างขนาดไหน วิชาการมากขนาดไหน กิเลสมหาศาล แม้แต่กิเลสมหาศาลยังทำลายคนอื่นอีกต่างหาก เพราะต้องการอำนาจ ต้องการความบาตรใหญ่

แต่ถ้าเป็นความรู้จริง ความรู้จริงเข้าไปทำลายถึงอวิชชา เข้าไปทำลายถึงความคิด นี่ความคิดยังไม่มีเลย ความคิดมีไม่ได้ ถ้าความคิดมีนี่เป็นสมมุติทั้งหมด สิ่งที่เป็นนิพพานนี่ออกวิมุตติสุข พ้นออกไปจากโลก พ้นออกจากสมมุติทั้งหมด มันไปอยู่ของมัน ผู้รู้เท่านั้นถึงรู้ตามความเป็นจริง ขณะที่การที่สืบสัมพันธ์กันต่างๆ มันเสวยอารมณ์ออกมาแล้ว สิ่งที่เสวย เสวยอะไร? เสวยในขันธ์

สิ่งที่ขันธ์ เห็นไหม ขันธ์ ๕ เป็นเครื่องมือของจิต เครื่องมือของจิต ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์นี้เป็นสมมุติ ธาตุก็เป็นสมมุติ จิตนี้เป็นวิมุตติ แต่ถ้าเป็นวิมุตติจะผ่านขันธ์ออกมา สิ่งนี้มันจะเสื่อมสภาวะเป็นไปอย่างไร ในเมื่อมันต่างอันต่างจริงมาตั้งแต่อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดขึ้นมาต่างอันต่างจริง มันจริงของมัน ถ้ามันเป็นเราหรือถ้าเป็นการสืบสัมพันธ์กัน มันมีอุปาทานยึด ถ้ามันเสื่อมคือปุถุชน ปุถุชนคนที่กิเลสหนาแบบนี้มันเสื่อม จำแล้วก็กลัวลืม ต้องทบทวน ต้องคิด ต้องสั่งสม ต้องออกแสวงหาตลอด

วิชาการทางโลก มันมีวิชาการใหม่มาตลอด ถ้าเราไม่ศึกษามันจะตกรุ่นตกกระแส ต้องศึกษาตลอด แต่ถ้าเป็นการรู้จริง รู้เรื่องของจิต ปล่อยวางทั้งหมด เข้าใจตามความเป็นจริงทั้งหมด มันจะไปตกรุ่นที่ไหน มันจะไปเสื่อมสภาวะกับขันธ์อย่างใด เพราะสิ่งนั้นมันเป็นสมมุติ มันเป็นเครื่องมือการสื่อความหมายเท่านั้น

ถ้ามันสื่อออกมา จำไม่ได้ สิ่งที่จำไม่ได้ ก็ไม่เป็นทุกข์ สิ่งที่จำไม่ได้ สิ่งที่ลืม มันเกี่ยวอะไรกับใจล่ะ? มันไม่เกี่ยวอะไรกับใจเลย จำได้ก็เป็นการสื่อสารกัน เป็นการสื่อสารเพื่อประโยชน์กับผู้รับรู้ แต่ถ้ามันจำไม่ได้ มันจำไม่ได้เพราะสิ่งที่เป็นความจำมันเป็นสมมุติไง เหมือนกับเราเอามือเราไปจับสิ่งของต่างๆ แล้วสิ่งของเหล่านั้นมันเคลื่อนไป เราจับไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าเราอยาก เรายึด ไม่ได้ก็มีความเร่าร้อน ไม่ได้ก็จะทำให้เรามีความคับแค้นใจ เห็นไหมว่าขันธ์มันเสื่อมไปแล้ว เราจับต้องมันไม่ได้ มันมีความคับแค้นใจ นั่นไงถึงว่าขันธ์เสื่อม

มันจะเสื่อมไปไหน ในเมื่อมันเป็นสมมุติที่มันขาดไปแล้ว ญาณก็ไม่เสื่อม ไม่มีสิ่งใดเสื่อมเลย จากความรู้จริง ถ้าความรู้จริงมันจะเข้ากับความจริง ถ้าเป็นความรู้จำมันจะเข้ากับกิเลส แล้วอยู่ในวังวนของกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนฉัพพัคคีย์ก็ไม่ฟัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนนางวิสาขาตัดคัทเอาท์ทันที นี่ของจริงกับของปลอมต่างกันอย่างนี้ เอวัง